วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประโยชน์จากเนื้อหาในการสร้างบล๊อค

เครือข่ายคอมพิวเตอร์


เครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือ ระบบที่คอมพิวเตอร์อย่างน้อย เครื่องทำการเชื่อมต่อกัน โดยในการเชื่อมต่อจะมีสื่อกลางที่ใช้ในการส่งข้อมูล ซึ่งทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถใช้อุปกรณ์ ที่อยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องพิมพ์ แฟกซ์ สแกนเนอร์ ฮาร์ดดิส เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก นอกจากนี้ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ยังเป็นผลดีในกรณีที่ต้องการสื่อสารข้อมูลในระยะทางไกล หรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่อยู่ห่างไกล เช่น ระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้
ทั่วโลกโดยใช้เวลาเพียงน้อยนิด


การบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์

ทำให้เรารู้ว่าคอมพิวเตอร์เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะมีการเสื่อมชำรุดไปตามสภาพระยะเวลาที่ใช้งาน เราจึงต้องจึงควรเอาใจใส่ ดูแลและบำรุงรักษาอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งจะช่วยให้สามารถประหยัดงบประมาณในการซ่อมบำรุงหรือการเปลี่ยนอุปกรณ์สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมที่คอมพิวเตอร์ของคุณจะทำงานได้ดีนั้นคืออย่างไร

ที่มาของบทสรุป http://benzraksina.blogspot.com/2015/01/blog-post_18.html




Domain Name System (DNS) 

 ทำให้เราทราบถึง รายละเอียดของ DNS Protocol และการแลกเปลี่ยนข้อความทั่วไประหว่าง DNS Client และ DNS Server ที่ ติดต่อสื่อสารกันด้วยการแลกเปลี่ยน DNS Message ในระหว่างการทำ Query ซ้ำๆหรือ Zone transfer นั้น DNS Server จะทำเหมือนเป็น DNS Client เครื่องหนึ่ง เมื่อติดต่อกับ DNS Server เครื่องอื่น DNS Message 

ที่มาของบทสรุป http://benzraksina.blogspot.com/2015/01/dns.html


           Web 1.0, 2.0, 3.0


สามารถสรุปความรู้เกี่ยวกับ Web 1.0,2.0 และ 3.0 ได้ว่า

web 1.0 เป็นผู้เข้าชมสามารถอ่านได้อย่างเดียว ( Read-only ) 

เป็นเทคโนโลยีที่สามารถที่สามารถแก้ไขข้อมูล หน้าตาของ

เว็บไซต์ได้เฉพาะผู้ดูแลเว็บไซต์ ( Webmaster )เป็นเว็บที่ผู้เข้า

เยี่ยมชมไม่สามารถมีส่วนร่วมกับเว็บดังกล่าวได้ 

web 2.0 ผู้เข้าชมสามารถอ่านและเขียนได้ ( Read-Write ) เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่พัฒนาต่อจาก web 1.0 เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ เช่น เว็บบอร์ด เว็บบล็อก

web 3.0 ผู้ชมสามารถอ่าน เขียน จัดการ ( Read-Write-Execute ) คือจากที่ผู้เข้าไปใช้อ่าน และเพิ่มข้อมูล ผู้ใช้ก็สามารถปรับแต่งข้อมูลหรือระบบได้เองอย่างอิสระมากขึ้น 


ที่มาของบทสรุป http://benzraksina.blogspot.com/2015/01/web-1020-30.html


วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

เทคโนโลยี web 1.0,2.0 เเละ 3.0

เทคโนโลยี web 1.0,2.0 เเละ 3.0

            web 1.0,2.0 เเละ 3.0 เป็นการแบ่งยุคของ Internet ในตอนนี้อาจแบ่งได้ 2 ยุค และเรากำลังก้าวไปสู่ยุดที่ 3 ในไม่ช้านี้

Web 1.0

     ในยุดแรก Web 1.0 web 1.0 ผู้เข้าชมสามารถอ่านได้อย่างเดียว ( Read-only ) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถที่สามารถแก้ไขข้อมูล หน้าตาของเว็บไซต์ได้เฉพาะผู้ดูแลเว็บไซต์ ( Webmaster )เป็นเว็บที่ผู้เข้าเยี่ยมชมไม่สามารถมีส่วนร่วมกับเว็บดังกล่าวได้ ถือว่าเป็นเว็บรุ่นแรกของเทคโนโลยีเว็บไซต์ ส่วนมากจะใช้ภาษา html เป็นภาษาสำหรับการพัฒนา
   

ตัวอย่าง website ได้แก่ 
http://www.teenee.com/




        Web 2.0 web 2.0 ผู้เข้าชมสามารถอ่านและเขียนได้ ( Read-Write ) เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่พัฒนาต่อจาก web 1.0 เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ เช่น เว็บบอร์ด เว็บบล็อก วิพีเดีย เป็นต้น ซึ่งจะใช้ฐานข้อมูลมาเกี่ยวข้อกับเทคโนโลยีนี้ด้วย



ตัวอย่าง website ได้แก่ 
PANTIP.COM มีวิธีการใช้งานคือ


  • 1.การสมัครสมาชิก
  • 2.การเข้าสู่ระบบเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด เช่น การใส่ User Name จากนั้นก็ ใส่รหัส
  • 3.การแก้ไขข้อมูลส่วนตัว
  • 4.การโพสต์ หรือ การสร้างกระทู้คำถาม จากนั้นก็จะมีผู้สนใจหรือผู้รู้เกี่ยวกับการโพสต์มาตอบคำถาม



       web 3.0 ผู้ชมสามารถอ่าน เขียน จัดการ ( Read-Write-Execute ) คือจากที่ผู้เข้าไปใช้อ่าน และเพิ่มข้อมูล ผู้ใช้ก็สามารถปรับแต่งข้อมูลหรือระบบได้เองอย่างอิสระมากขึ้น สำหรับเมืองไทยนั้นจะนำเข้ามาใช้ในอนาคต เทคโนโลยีบางอย่างที่คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน web 3.0 ได้แก่ Artificial Intelligent (AI) เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือสมองกล,Semantic Web and SOA (Service-oriented architecture)เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ต่างระบบกัน, 3D หรือ Web3D Consortium เป็นเว็บรูปแบบ 3 มิติ, Composite Applications เป็นการผสมบริการระหว่างกัน เช่น การดึงบริการจากเว็บรูปแบบหนึ่งมาใช้งานในเว็บไซต์รูปแบบอื่นๆ ได้ด้วยเสมือนเป็นเว็ปไซต์เดียวกัน, Scalable Vector Graphic (SVG) เป็นเทคโนโลยีที่เมื่อเราจะย่อหรือขยายรูปภาพก็ไม่แตกเป็นเม็ดๆ,Semantic Wiki เป็นการแสดงข้อมูลของภาพที่เรากำลังอ่านอยู่, Metadata ( Data about Data)เป็นการอธิบายข้อมูลด้วยข้อมูลในเชิงสัมพันธ์กัน

ตัวอย่าง website ได้เเก่
       ที่เห็นได้ง่ายและดีเยี่ยมในการใช้ Web 3.0 เพื่อสร้างความสะดวกให้กับลูกค้าคือ Apple.com รูปสินค้าที่เสนอขายบนเว็บไซต์ของ Apple ทุกรูป จะเห็นข้อความสั้นๆ ปรากฏขึ้นเพื่ออธิบายสินค้าเพียงแค่ชี้เม้าท์ ไม่จำเป็นต้อง click และรอดาวน์โหลดอีกกว่านาทีจึงจะทราบข้อมูลของสินค้าตัวนั้น หรือแม้แต่แคตตาล็อกออนไลน์ของ Amazon ก็เริ่มนำกลยุทธ์นี้มาใช้เพื่อเรียกลูกค้า




ตารางเปรียบเทียบ Web 1.0 2.0 3.0
ตารางเปรียบเทียบ Web 1.0 2.0 3.0
ชนิด ความหมาย ลักษณะ ตัวอย่าง
Web 1.0 ผู้เข้าชมสามารถอ่านได้อย่างเดียว ( Read-only ) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถที่สามารถแก้ไขข้อมูลหน้าตาของเว็บไซต์ได้เฉพาะผู้ดูแลเว็บไซต์ ( Webmaster ) ( Webmaster )เป็นเว็บที่ผู้เข้าเยี่ยมชมไม่สามารถมีส่วนร่วมกับเว็บดังกล่าวได้ ถือว่าเป็นเว็บรุ่นแรกของเทคโนโลยีเว็บไซต์ ส่วนมากจะใช้ภาษา html เป็นภาษาสำหรับการพัฒนา Web 1.0 นั้นเป็นเรื่องของการที่ผู้ให้บริการนำเสนอข้อมูลให้กับบุคคลทั่วไป โดยทำในลักษณะเดียวกับหนังสือทั่วไป ที่ผู้อ่านมีส่วนร่วมน้อยมากในการเติมแต่งข้อมูล www.teenee.com
Web 2.0 ผู้เข้าชมสามารถอ่านและเขียนได้ ( Read-Write ) เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่พัฒนาต่อจาก web 1.0 เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ เช่น เว็บบอร์ด เว็บบล็อก วิพีเดีย เป็นต้น ซึ่งจะใช้ฐานข้อมูลมาเกี่ยวข้อกับเทคโนโลยีนี้ด้วย บุคคลทั่วไปคือผู้สร้างเนื้อหา และนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ จาก Web 2.0 ในเปลือกนัท ทำให้เราเข้าใจว่าในยุคที่ 2 นั้นเป็นเรื่องของการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง โดยการสร้างเสริมข้อมูลสารสนเทศ ให้มีคุณค่าและมีข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ดังตัวอย่างที่เป็นสิ่งที่ทุกคนคงรู้จักกันดีอย่าง Wikipedia ทำให้ความรู้ถูกต่อยอดไปอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลทุกอย่างได้มาจากการเติมแต่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกิดจากการคานอำนาจของข้อมูลของแต่ละบุคคลทำให้ข้อมูลนั้นถูกต้องมากที่สุด และจะถูกมากขึ้นเมื่อเรื่องนั้นถูกขัดเกลามาตามระยะเวลายาวนาน www.PANTIP.COM
Web 3.0 ผู้ชมสามารถอ่าน เขียน จัดการ ( Read-Write-Execute ) คือจากที่ผู้เข้าไปใช้อ่าน และเพิ่มข้อมูล ผู้ใช้ก็สามารถปรับแต่งข้อมูลหรือระบบได้เองอย่างอิสระมากขึ้น สำหรับเมืองไทยนั้นจะนำเข้ามาใช้ในอนาคต เทคโนโลยีบางอย่างที่คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน web 3.0 ได้แก่ Artificial Intelligent (AI) เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือสมองกล,Semantic Web and SOA (Service-oriented architecture)เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ต่างระบบกัน, 3D หรือ Web3D Consortium เป็นเว็บรูปแบบ 3 มิติ, Composite Applications เป็นการผสมบริการระหว่างกัน เช่น การดึงบริการจากเว็บรูปแบบหนึ่งมาใช้งานในเว็บไซต์รูปแบบอื่นๆ ได้ด้วยเสมือนเป็นเว็ปไซต์เดียวกัน, Scalable Vector Graphic (SVG) เป็นเทคโนโลยีที่เมื่อเราจะย่อหรือขยายรูปภาพก็ไม่แตกเป็นเม็ดๆ,Semantic Wiki เป็นการแสดงข้อมูลของภาพที่เรากำลังอ่านอยู่, Metadata ( Data about Data)เป็นการอธิบายข้อมูลด้วยข้อมูลในเชิงสัมพันธ์กันที่เห็นได้ง่ายและดีเยี่ยมในการใช้ Web 3.0 เพื่อสร้างความสะดวกให้กับลูกค้าคือ www.apple.com/
อ้างอิงมาจากลิงค์
http://www.kroobannok.com/blog/38859
http://rattanasak.jigsawoffice.com/content/content.php?mid=2862&did=340&tid=&catid=103&0
https://www.apple.com/
http://egoweblog.nl/2012/03/19/web-3-0-intelligente-en-semantische-web/
http://www.koala-soft.com/de-web-10-a-web-30
http://www.teenee.com/

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์


วิธีการบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์

 
การบำรุงรักษาเครืองคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์


รูปที่ 1 การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์

      เครืองคอมพิวเตอร์  เมือได้มีการใช้งานและควรมีการบำรุงรักษาเป็นประจำเพื่อการยืนอายุการใช้งานเครืองคอมพิวเตอร์  การบำรุงเครืองอย่างสมํ่าเสมอจะทำไห้เครืองสามารถทำงานได้ตามปกติ  แต่ในการดูแลอุปกรณ์ของเครืองคอมพิวเตอร์ในแต่ละชิ้นส่วนรนั้นผู้ดูแลบำรุ่งรักษาต้องมีความรู้เกียวกับอุปกรณ์นั้นๆ  ควรได้การศิกษาวิธีการบำรุ่งรักษาให้เข้าใจสำหรับการบำรุงรักษาในแต่ละชิ้น


การทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์


จอภาพ

รูปที่ 2 การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์

  • จอภาพ หลังจากที่เราใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ควรมีการดูแลรักษาด้วยวิธีง่าย ๆ แต่ควรปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอ คือ การทำความสะอาดจอภาพโดยใช้ผ้านุ่มชุบน้ำสบู่อ่อน เช็ดถูบริเวณจอแก้วและโดยรอบ จากนั้นเช็ดออกด้วยผ้าแห้งที่สะอาดหากเป็นจอภาพที่มีการเคลือบสารป้องกันการสะท้อนแสง ไม่ควรเช็ดบนจอแก้วบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้สารที่เคลือบไว้ลอกออก และห้ามใช้น้ำยาทำความสะอาด หรือสเปรย์ใด ๆ 

แป้นพิมพ์

รูปที่ 3 การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์


  • แป้นพิมพ์  ควรมีการเคาะฝุ่นออกบ้างโดยจับค่ำลงใช้แปรงหรือที่เป่าลม ปัดเศษผงออกแล้วเช็ดด้วยผ้านุ่มชุบน้ำสบู่อ่อนเช่นเดียวกัน 

เมาส์

รูปที่ 4 การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์


  • เมาส์  ควรเปิดฝาปิดลูกกลิ้งออกมาทำความสะอาดลูกกลิ้งและแกนหมุนที่สัมผัสกับลูกกลิ้ง 

กล่องซีพียู

รูปที่ 5 การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์



  • กล่องซีพียู  ควรมีการปัดฝุ่นหรือเช็ดทำความสะอาดเช่นเดียวกันโดยเฉพาะบริเวณด้านหน้าช่องใส่แผ่นดิสก์

การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์


      1. การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ควร Shut down ทุกครั้ง

     2. การใช้ Drive 1.44 ( Drive A: หรือ แผ่นดิสก์เกต ) ควรตรวจสอบสภาพแผนก่อนใช้ทุกครั้ง ตรวจสอบสติกเกอร์ที่ติดบนแผนต้องแนบสนิทกับแผ่นดิสก์ ถ้าสติกเกอร์ติดไม่แน่น เมื่อนำแผ่นดิสก์ออกจะทำให้บางส่วนของสติกเกอร์ติดค้างภายใน Drive 1.44 (เครื่องอ่านแผ่นดิสก์) จะทำให้หัวอ่านแผ่นชำรุดหรือเสียหายได้

     3. ควรปัดฝุ่นหรือทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ใหม่อยู่เสมอ เพราะเมื่อมีฝุ่นเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์มากๆ จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ร้อนจัดได้ง่าย เป็นสาเหตุของอาการเครื่องค้างหรือเครื่องHangได้

     4. ภายในโปรแกรม Windows จะมีคำสั่งในการบำรุงรักษาเครื่อง ( Maintenance ) ซึ่งผู้ใช้ควรใช้คำสั่งนี้บ่อยๆ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรืออาทิตย์ละ 1 ครั้งสำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ คำสั่ง Disk Cleanup ,Scandisk และ Defrag ( วิธีใช้งานคำสั่งจะแนะนำต่อไป )

     5. ไม่ควรรับประทานอาหารขณะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะเศษอาหารจะทำให้หนูหรือแมลงต่างๆ เข้าสู่ภายในเครื่องและกัดแทะสายไฟทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เสียหายได้การบำรุงรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย ทำความสะอาดเครื่องทั้งภายนอกและภายใน ตรวจและทำความสะอาด Floppy Disk Drive และ CD ROM ตรวจสอบและกำจัด Virus อุปกรณ์ใดที่ต้องหล่อลื่นให้หล่อลื่นด้วย


วิธีการดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ภายในตัวเครื่อง  
มีวิธีดังนี้


      1.จัดระเบียบโฟลเดอร์ต่างๆ จะทำให้การหาไฟล์ต่างๆ สะดวกมากขึ้น เครื่องทำงานไม่หนัก

      2.กำจัดและสแกนไวรัสในคอมพิวเตอร์สม่ำเสมอ 

      3.ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานทิ้ง

      4.หมั่นหาวิธีหรือการใช้งานที่ถูกต้อง  การใช้งานคอมพิวเตอร์ให้ถูกต้องตามพื้นฐาน


อ้างอิงข้อมูลจาก

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

มาทำความรู้จักกับ DNS กันเถอะ




DNS(Domain Name System server)

ภาพที่ 1 Domain Name System: DNS

          ระบบการตั้งชื่อโดเมน หรือ ดีเอ็นเอส (Domain Name System: DNS) เป็นระบบที่ใช้เก็บข้อมูลของชื่อโดเมน  ซึ่งใช้ในเครือข่ายขนาดใหญ่อย่างอินเทอร์เน็ต โดยข้อมูลที่เก็บมีหลายอย่าง แต่สิ่งสำคัญคือความสัมพันธ์ระหว่างชื่อโดเมนนั้นๆ กับหมายเลขไอพีที่ใช้งานอยู่ คำว่าดีเอ็นเอสสามารถหมายถึง บริการชื่อโดเมน (Domain Name Service) ก็ได้ ส่วนเครื่องบริการจะเรียกว่า เครื่องบริการชื่อ หรือ เนมเซิร์ฟเวอร์ (name server)



ประโยชน์ที่สำคัญของดีเอ็นเอส 

            คือช่วยแปลงหมายเลขไอพีซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่จดจำได้ยาก 

  • เช่น 207.142.131.206 มาเป็นชื่อที่สามารถจดจำได้ง่ายแทน เช่น wikipedia.org



ประวัติความเป็นมาของระบบ DNS

          ในช่วงศตวรรษที่ 90 ในขณะที่การใช้งานอีเมลล์เริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย จำนวนเครือข่ายที่เชื่อมต่อมายังเครือข่าย ARPA NET ได้เพิ่มจำนวนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้บริการเครือข่ายแบบรวมศูนย์ของ SRI ( The NIC ) เริ่มประสบปัญหาในการจัดการระบบฐานข้อมูลซึ่งใช้ในการอ้างอิงถึงโฮสท์ที่เชื่อมต่อมาจากเครือข่ายอิสระต่างๆ ที่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกัน โดยในขณะนั้น การเพิ่มรายชื่อโฮสท์แต่ละเครื่องเข้ามาในเครือข่าย ARPA NET จำเป็นต้องส่งข้อมูลโดยการ FTP เข้ามาปรับปรุงข้อมูลในไฟล์ Host Table ที่ SRI เป็นผู้ดูแล ซึ่งจะมีการปรับปรุงข้อมูลเพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้งเท่านั้น ทำให้การจัดการข้อมูลมีความล่าช้าและไม่ยืดหยุ่น นอกจากนี้เครือข่ายต่างๆ ที่เข้ามาเชื่อมต่อต่างก็ต้องการอิสระในการจัดการบริหารระบบของตนเองจึงเกิดแนวความคิดที่กระจายความรับผิดชอบในการจัดระบบนี้ออกไป โดยแบ่งการจัดพื่นที่ของโลกเสมือนนี้ออกเป็นส่วนๆ โดยกำหนดให้โฮสท์แต่ละเครื่องอยู่ภายใต้ขอบเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่ได้แบ่งเอาไว้ โดยแต่ละพื้นที่สามารถแบ่งออกเป็นพ้นที่ที่เล็กลงได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งพื้นที่แต่ละส่วน ก็ถูกอ้างไปยังพื้นที่ที่ใหญ่กว่าเป็นลำดับชั้นขึ้นไป เพื่อให้สามารถระบุตำแหน่งอ้างอิงของโฮสท์แต่ละเครื่องที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของแต่ละพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว โดยพื้นที่เสมือนแต่ละส่วนถูกเรียกว่า “ โดเมน” (Domain) และเรียกการอ้างระบบอ้างอิงเป็นลำดับชั้นด้วยชื่อของแต่ละพื้นที่หรือโดเมนนี้ว่า “ ระบบชื่อโดเมน ” ( Domain Name System) ส่วนพื้นที่ทั้งหมดของโลกเสมือนที่ประกอบด้วยพื้นที่ย่อยๆจำนวนมากนี้  จะเรียกว่า “Domain Name Space”


ระบบ Domain Name System  (DNS)

                เป็นระบบจัดการแปลงชื่อไปเป็นหมายเลข IP address โดยมีโครงสร้างฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นเพื่อใช้เก็บข้อมูลที่เรียกค้นได้อย่างรวดเร็ว
           กลไกหลักของระบบ DNS คือ ทำหน้าที่แปลงข้อมูลชื่อและหมายเลข IP address หรือทำกลับกันได้ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันเพิ่มเติมอื่นๆ อีก เช่น แจ้งชื่อของอีเมล์เซิร์ฟเวอร์ใน domain ที่รับผิดชอบด้วย
           ในระบบ DNS จะมีการกำหนด name space ที่มีกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน มีกลไกการเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลแบบกระจาย ทำงานในลักษณะของไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server)


การทำงานของระบบ DNS

       
รูปที่ 2 การทำงานของระบบ DNS

           การทำงานของระบบชื่อโดเมนนั้น  เริ่มต้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งทำหน้าที่เป็น  DNS Server ซึ่งทำงานด้วยซอฟแวร์พิเศษชื่อว่า  BIND ที่ทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูลระหว่าง  DNS Server  แต่ละเครื่องผ่าน  DNS  Photocal  เมื่อมีคำร้องขอให้สืบค้นหมายเลข ไอพี  อย่างไรก็ตาม  คำตอบที่  DNS Server  จะมีให้ก็ต่อคำร้องหนึ่งๆนั้นขันกับว่า  DNS Server  นั้นเป็น DNS Server  ประเภทใด  ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น  2  ประเภทคือ
  1. Name Server  เนมเซิร์ฟเวอร์แต่ละเครื่องต่างมีข้อมูลเฉพาะโซนที่ดูแลอยู่เท่านั้น หากรีโซลเวอร์ร้องขอการสอบถามข้อมูลโซนตนเอง เนมเซิร์ฟเวอร์จะช่วยค้นข้อมูลนอกโซนของตนเองให้
  2. Resolver  ซึ่งเป็นโปรแกรมในเครื่องไคลเอ็นต์ที่ขอบริการดีเอ็นเอสที่กำหนดว่าเครื่องนั้นอยู่ในโดเมนใด และต้องติดต่อกับเนมเซิร์ฟเวอร์



การตั้งชื่อให้ DNS ต้องเป็นไปตามกฏนี้

           ใช้ได้เฉพาะตัวอักษรละติน (ASCII character set) ใน RFC 1035 ระบุว่าสัญลักษณ์ที่ใช้ได้ในโดเมนเนม คือ
          (1) ตัวอักษร a ถึง z (case insensitive - ไม่สนใจพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่) 
          (2) เลข 0 ถึง 9
          (3) เครื่องหมายยติภังค์ (-)

Dynamic DNS คืออะไร 

              เป็นระบบที่เก็บไอพีแอดเดรสกับโดเมนเนมของคอมพิวเตอร์ที่ได้ลงทะเบียนไว้ คอมพิวเตอร์ของเราสามารถแจ้งไอพีแอดเดรสที่เปลี่ยนแปลงทุกๆ ครั้ง ให้กับ DNS SERVER ของผู้ให้บริการ Dynamic DNS ผ่านทางโปรแกรมสำหรับแจ้งไอพีแอดเดรสอัตโนมัติ ผุ็ใช้บริการเช่น No-ip


ขั้นตอนการทำงานของ DNS 

       
ภาพที่ 2 ขั้นตอนการทำงานของ DNS

            ขั้นตอนการทำงานของ DNS มีขั้นตอนอย่างง่ายๆ ดังรูปที่ 1 โดยในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ซึ่งมีอยู่มากและยังมีโปรโตคอลพิเศษคอยทำหน้าที่ต่างๆอยู่เบื้องหลังด้วย เช่น โปรโตคอล ARP ช่วยแปลงค่า IP address เป็นค่าฮาร์ดแวร์ เป็นต้น ตามรูปการทำงานของ DNS มีขั้นตอนที่สามารถอธิบายรายละเอียดได้ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 สมมติว่า DNS Server นี้ไม่มีข้อมูลมันจะทำการส่งคำสั่งขอข้อมูลต่อไปยัง DNS Server ของ ISP

ขั้นตอนที่ 2  เครื่อง DNS Server ของ ISP ได้รับคำสั่งแล้วทำการค้นหาข้อมูล IP Address ที่ต้องการแต่สมมติว่าไม่ พบข้อมูลมันจึงทำการส่งคำสั่งขอข้อมูลไปยัง DNS Server ระดับสูงขึ้นไปอีก

ขั้นตอนที่ 3 DNS Server ระดับบนสุดได้รับการร้องขอก็จะทำการหาข้อมูลให้ แต่ก็ยังไม่สามารถจะตอบค่า IP Address กลับมาให้ได้เพราะไม่มีข้อมูลแต่รู้ว่า DNS Server ของ www.sanook.com อยู่ที่ IP อะไร จึงให้ข้อมูล IP Address 203.107.128.1 กลับมายัง DNS Server ของ ISP

ขั้นตอนที่ 4 และส่งผ่านต่อมายัง DNS Server ของ abc.com

ขั้นตอนที่ 5 DNS ของ abc.com จึงถามหา IP Address ไปที่ DNS ของ Sanook.com

ขั้นตอนที่ 6 แล้วได้คำตอบ กลับมาว่า IP ของ www.sanook.com นี่คือ 203.107.136.6

ขั้นตอนที่ 7 จากนั้น DNS abc.com ก็บอกไปยังเครื่อง Client ว่า IP เป็นอะไรข้างต้น 

ขั้นตอนที่ 8 ถึงขั้นตอนนี้ Client จะรู้แล้วว่า www.sanook.com นั้นมี IP Address เท่ากับ 203.107.136.6 มันจึงร้อง ขอข้อมูลไปยัง IP Address นี้ 


ขั้นตอนที่ 9 แล้วก็ได้เห็นข้อมูลดังปรากฏในจอ จากขั้นตอนที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่ามีการทำงานที่ซับซ้อนเพื่อให้การใช้งานของเราง่ายขึ้นและนี่ก็ คือบทบาทของ Domain Name System ที่ได้กล่าวมาแล้ว




เว็บไซต์โรงเรียน ถ้าไม่มี DNS จะเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างไร


การเซิตร์หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตซึ่งจะทำงานล้าช้ากว่าฐานข้อมูลที่มี DSN และมีจำนวนตัวเลขเเทนชื่อเว็บไซต์ทำให้จดจำได้ยากซึ่งอาจจะไม่สามารถเจาะลึกในฐานข้อมูลได้มากเท่ากับระบบที่มี DSN




การเข้าถึง DSN ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุวินทวงศ์


IP addressโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุวินทวงศ์

Domain: TUPS.AC.TH
Registrar: T.H.NIC Co., Ltd.
Name Server: NS1.SIAMBSDHOST.NET
Name Server: NS2.SIAMBSDHOST.NET
Status: ACTIVE
Updated date: 26 Jul 2013
Created date: 24 Jun 2008
Renew date: 24 Jun 2013
Exp date: 23 Jun 2015
Domain Holder: Triam Udomsuksa Pattanakarn Suwinthawong School ( 
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุวินทวงศ์ )
24 Moo. 7   T.klongroungpaeng, A..moung Chachoengsao 
Chachoengsao
24000
TH

Tech Contact: 106384
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ 
สุวินทวงศ์
24 หมู่ที่ 7 ตำบลคลองหลวงแพ่ง 
อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
24000
TH

For more information please visit: https://www.thnic.co.th/whois



จัดทำโดย  นางสาวรักสินา   มูลอัด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6


ที่มา


วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558

Apple iPhone 6


Apple iPhone 6




       ช่วงนี้ตลาดมือถือในประเทศไทยดูหมือนจะคึกคักพิเศษ หลังจากแอปเปิ้ลวางขาย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ไปแล้ว 9 ประเทศแรก ทำให้ตอนนี้เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเริ่มนำเครื่องหิ้วเข้ามาวางขายให้กับเหล่าสาวกแอปเปิลที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะซื้อก่อนใคร ส่วนคนที่มีงบจำกัดหรือไม่อยากเสียเงินกับเครื่องหิ้วราคาแพง ก็ต้องรอเครื่องศูนย์จากค่ายมือถือในไทยนำเข้ามาขาย พร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษที่มีให้เลือกมากมาย 

        สำหรับใครที่กำลังสนใจ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่ใช้หน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว พร้อมดีไซน์ที่ออกแบบใหม่เน้นความโค้งมนของตัวเครื่องเหมือนกับ iPod touch รวมถึงปุ่มปิด-เปิดเครื่องย้ายมาไว้ด้านข้าง ส่วนวัสดุยังคงใช้เป็นอะลูมิเนียมผสมกับโลหะส่งผลให้ตัวเครื่องของ iPhone 6 บางลงกว่าเดิม โดย iPhone 6 ตัวเครื่องบางเพียง 6.9 มม. และ iPhone 6 Plus บางเพียง 7.1 มม.





 ตั้ค่ iPhone ด้ง่ ด้ตั





iPhone มาพร้อมอุปกรณ์ครบครันให้คุณเริ่มใช้งานได้ทันที



เมื่อคุณเปิดเครื่อง iPhone ครั้งแรก Setup Assistant จะให้คำแนะนำในการเปิดใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ การเชื่อมต่อ Wi-Fi และขั้นตอนจำเป็นอื่นๆ ทั้งหมด

ลงชื่อเข้าใช้ iCloud เพื่อให้ iPhone สามารถดาวน์โหลดแอพ ตั้งค่าอีเมล และถ่ายโอนรายชื่อผู้ติดต่อของคุณได้โดยอัตโนมัติ

อุณ์ล่

           
           Apple จะจัดของในกล่องมาในแนว minimalism คือให้มาเท่าที่จำเป็น คือมีกล่อง ตัวเครื่อง power adapter สายชาร์จ และหูฟัง จัดกล่องให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

ชุดหูฟัง  - Apple EarPods พร้อมรีโมทและไมโครโฟนที่เก็บและกล่องพกพา

ซิมการ์ด - 
Nano-SIM
                    iPhone 6 ไม่รองรับการ์ด Micro-SIM ที่มีอยู่ในขณะนี้

หัวต่อ     - Lightning


อัตราการทำงานสำหรับเครื่องช่วยฟัง
               - iPhone 6
                    iPhone 6 (รุ่น A1549, A1586): M3, T4
              - iPhone 6 Plus

                    iPhone 6 Plus (รุ่น A1522, A1524): M3, T4


การรองรับไฟล์แนบ

               -  รองรับไฟล์เอกสาร  .jpg, .tiff, .gif (ภาพ), .doc และ .docx (Microsoft Word), .htm และ .html (เว็บเพจ), .key (Keynote), .numbers (Numbers), .pages (Pages), .pdf (Preview และ Adobe Acrobat), .ppt และ .pptx (Microsoft PowerPoint), .txt (ตัวอักษร), .rtf (รูปแบบ rich text), .vcf (ข้อมูลผู้ติดต่อ), .xls และ .xlsx (Microsoft Excel), .zip, .ics


ปุ่ช่ต่ด้



  • ตัวเครื่องด้านซ้ายมือก็จะมีปุ่มเท่าที่เห็น การจัดวางเหมือน iPhone รุ่นก่อน ๆ คือ ด้านบนสุด เป็นตัวเปิดปิดเสียง ต่อด้วยปุ่มเพิ่ม และลดเสียงตามลำดับ
  •   ส่วนตัวเครื่องด้านขวามือตรงนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้รับขนาดเครื่องที่ใหญ่ขึ้น โดย Apple ได้ย้ายปุ่ม ON/OFF มาไว้ที่ตัวเครื่องด้านขวาแทนที่จะวางไว้ด้านบนเครื่องตามรุ่นก่อน ๆ ถัดลงมาก็เป็นช่องใส่ nano-SIM
  • ด้านล่างจากซ้ายไปขวาคือ ช่องเสียบหูฟัง ไมค์ ช่องต่อ Lightning connector และลำโพง

นั



รูปที่ 5 Apple iPhone 6


รูปที่ 6 Apple iPhone 6 plus


  • iPhone 6 Plus ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว มีมิติตัวเครื่องด้านยาว 6.22 นิ้ว ด้านกว้าง 3.06 นิ้ว และหนา 0.28 นิ้ว
              - ด้านหลังเป็น anodized aluminium สี Space Gray แปะกล้องความละเอียด 8 MP ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ f2.2 และ Flash ดวงน้อย ๆ
  • ในส่วนของน้ำหนักนั้น เพื่อความแน่ใจเลยเอาตาชั่งมาลองวัดดูก็ได้ตัวเลข 174 g ก็ถือว่าพอ ๆ กับที่ Apple เคลมเอาไว้ที่ 172 g 

ที่ร้รื่

      
          กล้อง              FaceTime           สุขภาพ                    Mail                    ข้อความ
   
             
  เสียงบันทึก             สภาพอากาศ           แผนที่                 เพลง               แผงหนังสือ

     
        โน้ต                Passbook           พ็อดคาสท์         เตือนความจำ            Safari

     
          หุ้น                   วิดีโอ                   เข็มทิศ                 รายชื่อ           Game Center

    
       iBooks               iTunes                   Store             เครื่องคิดเลข           ปฏิทิน

  
      นาฬิกา                โทรศัพท์                รูปภาพ


แอพฟรีจาก Apple7

     
 ค้นหาเพื่อนๆ         ค้นหา iPhone       GarageBand       iMovie             iTunes U

    
     Keynote             Numbers                Pages               Remote



ช้ร่กัอุณ์ริ

       ส่วนนี้ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ  ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น การเชื่อมต่ออุปกรณ์ Bluetooth อย่างเช่น Apple keyboard ทำให้การทำงานเล็ก ๆ น้อยอย่าง เข้า website อ่านเขียน e-mail ดู Youtube ซึ่งเมื่อก่อนนี้ iPad จะตอบโจทย์ตรงนี้มากกว่า ดูเหมือนว่าตอนนี้ iPhone ก็สามารถใช้งานได้สะดวกไม่แพ้กัน

รีวิ iPhone 6



จุ
 iPhone 6

  • 16GB   ฿24,900
  • 64GB   ฿28,900
  • 128GB ฿32,900

iPhone 6 Plus

  • 16GB   ฿28,900
  • 64GB   ฿32,900
  • 128GB ฿36,900

ทีมา  http://www.apple.com/th/iphone-6/
http://store.apple.com/th-edu/buy-iphone/iphone6
http://www.apple.com/th/iphone-6/
http://store.apple.com/th/buy-iphone/iphone6?afid=p238%7CsRWqYC3f1-dc_mtid_18707vxu38484_pcrid_51651661996_&cid=aos-th-kwg-iphone
https://locate.apple.com/th/en/